เคยสงสัยกันมั้ยคะว่า… เอ๊ะ! เราก็ปรับเว็บของเราซะสวยงาม (On-Page SEO) เขียนคอนเทนต์ก็ดี๊ดี รูปภาพก็สวยคมชัด แต่ทำไม๊ ทำไมอันดับบน Google ของเราถึงยังไม่พุ่งทะยานไปหน้าแรกกับเขาสักทีนะ? บางทีขยับขึ้นมานิดหน่อย แล้วก็ตกลงไปอยู่ที่เดิม เหมือนพายเรือในอ่างเลยใช่ไหมคะ?
ถ้าใครกำลังเจอปัญหานี้อยู่ คิตตี้จะบอกว่าเพื่อนๆ มาถูกทางแล้วค่ะ! เพราะวันนี้ คิตตี้จะมาไขความลับของจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะมาเติมเต็มเกม SEO ของเราให้สมบูรณ์ นั่นก็คือ “Off-Page SEO” นั่นเองค่ะ
บทความนี้ คิตตี้ตั้งใจเขียนขึ้นมาแบบละเอียดสุดๆ จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับการทำ SEO มานาน รับรองว่าไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นเทคนิคที่จับต้องได้และนำไปใช้ได้จริง เราจะมาคุยกันแบบสบายๆ เหมือนพี่สาวเล่าให้น้องสาวฟังเลยค่ะ เตรียมสมุดปากกาให้พร้อม แล้วไปตะลุยโลกของ Off-Page SEO กับคิตตี้กันเลยค่า!
ก่อนอื่นเลย Off-Page SEO คืออะไรกันแน่คะ?
ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายที่สุดนะคะ ให้ลองนึกภาพตามคิตตี้นะคะ
- On-Page SEO คือ การแต่งบ้านของเราให้สวยงามน่าอยู่ ค่ะ เราจัดวางเฟอร์นิเจอร์ (เนื้อหา) ให้เป็นระเบียบ ทาสี (ออกแบบเว็บ) ให้สวยงาม เดินสายไฟ (โครงสร้างเว็บ) ให้ปลอดภัย ใครเข้ามาในบ้านเราก็รู้สึกประทับใจ
- Off-Page SEO คือ การสร้างชื่อเสียงและทำให้คนอื่นพูดถึงบ้านของเราในทางที่ดี ค่ะ ต่อให้บ้านเราสวยแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครพูดถึง หรือไม่มีใครแนะนำบอกต่อ บ้านของเราก็จะเงียบเหงาใช่ไหมคะ? Off-Page SEO ก็คือการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น “นอกเว็บไซต์” ของเรา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างชื่อเสียง และทำให้ Google มองว่า “โอ้โห! เว็บไซต์นี้มีแต่คนพูดถึง มีแต่คนแนะนำ แสดงว่าเป็นเว็บที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือจริงๆ ต้องจัดอันดับให้อยู่สูงๆ ซะแล้ว!”
พูดง่ายๆ ก็คือ Off-Page SEO คือการสร้าง Reputation (ชื่อเสียง) และ Authority (ความน่าเชื่อถือ) ให้กับเว็บไซต์ของเราผ่านปัจจัยภายนอก นั่นเองค่ะ
ทำไม Off-Page SEO ถึงสำคัญระดับคอขาดบาดตาย?
ในยุคแรกๆ ของ Google การจัดอันดับอาจจะมองแค่คีย์เวิร์ดในหน้าเว็บก็พอ แต่ปัจจุบัน อัลกอริทึมของ Google ฉลาดล้ำเหมือนเป็นคนจริงๆ เลยค่ะ เขาใช้หลักการที่เรียกว่า E-E-A-T ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งย่อมาจาก:
- Experience (ประสบการณ์): ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่เขียนหรือไม่?
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ): ผู้เขียนเป็นผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ จริงหรือเปล่า?
- Authoritativeness (ความมีอำนาจ/ความน่าเชื่อถือ): เว็บไซต์นี้เป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในวงการนั้นๆ แค่ไหน?
- Trustworthiness (ความไว้วางใจได้): เนื้อหาและเว็บไซต์นี้เชื่อถือได้ ปลอดภัยหรือไม่?
ซึ่งสัญญาณ Off-Page SEO นี่แหละค่ะ คือตัวช่วยชั้นดีในการพิสูจน์ค่า E-E-A-T โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Authoritativeness และ Trustworthiness ให้กับ Google ได้เห็นภาพชัดเจนที่สุด
ลองคิดดูสิคะ ระหว่างเว็บไซต์ A ที่บอกว่าตัวเองเก่ง กับเว็บไซต์ B ที่มีเว็บข่าวใหญ่ๆ เว็บมหาวิทยาลัย หรือเว็บผู้เชี่ยวชาญในวงการเดียวกันหลายสิบเว็บลิงก์มาหา พร้อมกับบอกว่า “ข้อมูลจากเว็บไซต์ B นี่แหละคือของจริง!”… ถ้าเราเป็น Google เราจะเชื่อใครมากกว่ากันคะ? แน่นอนว่าต้องเป็นเว็บไซต์ B อยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ!
นี่แหละค่ะ คือพลังของ Off-Page SEO ที่จะช่วยส่งให้เว็บไซต์ของเราทะยานขึ้นสู่อันดับที่ดีกว่าได้อย่างยั่งยืน
เจาะลึกหัวใจของ Off-Page SEO การสร้าง Backlink คุณภาพ (Link Building)
เอาล่ะค่ะ มาถึงพระเอกของงานนี้กันแล้ว นั่นก็คือ “Backlink” นั่นเองค่ะ คิตตี้กล้าพูดเลยว่า 80% ของ Off-Page SEO คือเรื่องของการสร้างลิงก์คุณภาพ หรือที่เรียกกันเท่ๆ ว่า Link Building ค่ะ
Backlink คืออะไร?
Backlink คือ ลิงก์ที่เว็บไซต์อื่นชี้กลับมายังเว็บไซต์ของเราค่ะ เปรียบเสมือน “คะแนนโหวต” หรือ “การอ้างอิง” (Citation) ที่เว็บอื่นมอบให้เรา ยิ่งเราได้คะแนนโหวตจากเว็บที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากเท่าไหร่ Google ก็จะยิ่งมองว่าเว็บของเรามีคุณค่าและน่าเชื่อถือตามไปด้วย
แต่! แต่! แต่! ไม่ใช่ว่า Backlink ทุกอันจะดีเหมือนกันนะคะคุณพี่! สมัยก่อนอาจจะได้ผล แต่สมัยนี้ถ้าทำมั่วๆ ไปรับลิงก์ขยะเข้ามาเยอะๆ เผลอๆ จะโดน Google ลงโทษ (Penalty) จนอันดับหายวับไปกับตาเลยนะคะ น่ากลัวมากๆ!
ดังนั้น เราต้องโฟกัสที่ “คุณภาพ” ไม่ใช่ “ปริมาณ” ค่ะ
แล้ว Backlink คุณภาพสูงหน้าตาเป็นยังไง? (Anatomy of a High-Quality Backlink)
ก่อนจะไปล่าหา Backlink เราต้องรู้จักหน้าตาของลิงก์ดีๆ กันก่อนค่ะ จากประสบการณ์ของคิตตี้ ลิงก์ที่ Google รักจะมีลักษณะแบบนี้ค่ะ
- มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง (High Authority):
- คืออะไร: เว็บไซต์ที่เปิดมานาน มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับในวงการนั้นๆ เช่น เว็บข่าวใหญ่ๆ (Thairath, BBC), เว็บหน่วยงานราชการ (.go.th), เว็บสถาบันการศึกษา (.ac.th, .edu), หรือเว็บของบริษัทใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จัก
- ทำไมถึงดี: ลิงก์จากเว็บเหล่านี้เปรียบเหมือนการที่ผู้ใหญ่ที่น่าเคารพมาการันตีให้เราค่ะ พลังมันจะสูงมากๆ ได้มาแค่ลิงก์เดียวอาจมีค่ามากกว่าลิงก์จากเว็บเล็กๆ ร้อยลิงก์เลยนะคะ
- มาจากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน (Topical Relevance):
- คืออะไร: ถ้าเว็บเราขายเครื่องสำอาง การได้ลิงก์จากเว็บของบิวตี้บล็อกเกอร์, นิตยสารแฟชั่น, หรือคลินิกเสริมความงาม ย่อมดีกว่าการได้ลิงก์จากเว็บขายปุ๋ยแน่นอนค่ะ
- ทำไมถึงดี: มันสมเหตุสมผลและเป็นธรรมชาติในสายตา Google ค่ะ การที่เว็บในแวดวงเดียวกันลิงก์หากัน แสดงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นๆ จริงๆ และได้รับการยอมรับจากคนในวงการเดียวกัน
- Anchor Text มีความเกี่ยวข้องและเป็นธรรมชาติ:
- คืออะไร: Anchor Text คือ ข้อความที่สามารถคลิกได้เพื่อไปยังลิงก์ปลายทางค่ะ เช่น <a href=”yourwebsite.com”>นี่คือ Anchor Text</a>
- ทำไมถึงดี: Anchor Text ที่ดีจะช่วยบอกใบ้ให้ทั้งคนอ่านและ Google รู้ว่าลิงก์นั้นจะพาไปเจอกับเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร การใช้คีย์เวิร์ดหลักเป็น Anchor Text (Exact Match) ก็ดีค่ะ แต่ถ้าใช้ซ้ำๆ กันมากเกินไปจะดูไม่เป็นธรรมชาติ อาจจะโดนมองว่าเป็นสแปมได้ ทางที่ดีควรจะกระจายให้หลากหลาย เช่น ใช้ชื่อแบรนด์, ใช้ URL ตรงๆ, หรือใช้คำทั่วไปอย่าง “คลิกที่นี่”, “อ่านเพิ่มเติมที่นี่” ผสมกันไปค่ะ
- เป็นลิงก์แบบ “Dofollow”:
- คืออะไร: โดยปกติแล้วทุกลิงก์จะเป็น “Dofollow” ซึ่งหมายความว่ามันจะส่งต่อพลัง SEO (หรือที่เรียกว่า Link Juice) ไปยังเว็บปลายทาง แต่บางเว็บอาจจะตั้งค่าลิงก์บางประเภทให้เป็น “Nofollow” (เช่น ลิงก์ในคอมเมนต์, ลิงก์เสียเงิน) เพื่อบอก Google ว่า “ไม่ต้องส่งพลัง SEO ผ่านลิงก์นี้นะ”
- ทำไมถึงดี: แน่นอนว่าเราอยากได้ลิงก์ Dofollow เป็นหลักค่ะ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่ออันดับของเรา แต่การมีลิงก์ Nofollow บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะคะ มันทำให้โปรไฟล์ลิงก์ของเราดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
- มาจากตำแหน่งที่โดดเด่นในหน้าเว็บ:
- คืออะไร: ลิงก์ที่อยู่ในเนื้อหาหลักของบทความ ย่อมมีค่ามากกว่าลิงก์ที่ซ่อนอยู่ท้ายเว็บ (Footer) หรืออยู่รวมกับลิงก์อื่นๆ อีกเป็นสิบๆ อันใน Sidebar ค่ะ
- ทำไมถึงดี: Google ให้ค่าน้ำหนักกับลิงก์ที่คนมีโอกาสเห็นและคลิกได้จริงค่ะ การที่ลิงก์ของเราถูกวางอยู่ในตำแหน่งที่ดีในบทความ แสดงว่าเจ้าของเว็บตั้งใจแนะนำเนื้อหาของเราจริงๆ
จำ 5 ข้อนี้ให้ขึ้นใจเลยนะคะสาวๆ เวลาเราจะไปทำ Link Building ที่ไหน เราจะใช้ลิสต์นี้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจค่ะ
เปิดตำรา! กลยุทธ์การสร้าง Backlink คุณภาพ (Link Building Strategies) ฉบับปี 2025
มาถึงส่วนที่สนุกที่สุดแล้วค่ะ! เราจะไปหา Backlink ดีๆ แบบนี้มาจากไหนได้บ้าง? คิตตี้รวมกลยุทธ์เด็ดๆ ทั้งแบบเบสิคไปจนถึงขั้นแอดวานซ์มาให้แล้ว เลือกที่ใช่แล้วลุยได้เลย!
1. กลยุทธ์สุดคลาสสิก: Guest Post (การเป็นนักเขียนรับเชิญ)
- มันคืออะไร: คือการที่เราติดต่อไปยังเว็บไซต์อื่นที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเรา เพื่อเสนอตัวเขียนบทความดีๆ มีประโยชน์ไปลงในเว็บของเขาฟรีๆ แลกกับการที่เราจะใส่ลิงก์ 1-2 ลิงก์กลับมาที่เว็บไซต์ของเราในบทความนั้นค่ะ
- ทำไมถึงดี: Win-Win ทั้งสองฝ่ายค่ะ! เจ้าของเว็บได้คอนเทนต์คุณภาพไปลงเว็บฟรีๆ ส่วนเราก็ได้ Backlink คุณภาพกลับมา แถมยังได้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเองเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นด้วย
- How-to ฉบับคิตตี้:
- หาเป้าหมาย: ใช้ Google Search ค้นหาด้วยคำว่า “คีย์เวิร์ดของเรา” + “เขียนบทความ”, “คีย์เวิร์ดของเรา” + “guest post”, “คีย์เวิร์ดของเรา” + “ส่งบทความ”
- คัดกรองคุณภาพ: นำเว็บที่หาได้มาเช็คคุณภาพตาม 5 ข้อที่คิตตี้บอกไปข้างบนค่ะ ดูว่าเว็บน่าเชื่อถือมั้ย มีคนเข้าเยอะรึเปล่า
- หาไอเดียเสนอบทความ: เข้าไปดูในเว็บของเขาว่าเขายังขาดเนื้อหาเรื่องอะไร หรือเราจะเขียนเรื่องอะไรที่ต่อยอดจากของเดิมเขาได้บ้าง
- ส่งอีเมลแนะนำตัว (Pitching): เขียนอีเมลแนะนำตัวเรา บอกว่าติดตามเว็บเขาอยู่นะ แล้วก็เสนอหัวข้อบทความที่เราอยากเขียนไปให้เขาดูสัก 2-3 หัวข้อ เขียนอย่างสุภาพและเป็นมืออาชีพนะคะ
- เขียนบทความคุณภาพ: ถ้าเขาตอบตกลง ก็ได้เวลาโชว์ฝีมือค่ะ! เขียนบทความให้ดีที่สุด ดีกว่าบทความทั่วๆ ไปในเว็บของเราอีกนะคะ เพราะมันคือหน้าตาของเราค่ะ แล้วก็อย่าลืมใส่ลิงก์กลับมาที่เว็บเราอย่างเป็นธรรมชาติด้วยนะคะ
2. กลยุทธ์สายนักสืบ: Broken Link Building (สร้างลิงก์จากลิงก์ที่เสีย)
- มันคืออะไร: เป็นเทคนิคขั้นสูงขึ้นมานิดนึงค่ะ คือการที่เราไปตรวจหา “ลิงก์เสีย” (Broken Link) หรือลิงก์ที่กดไปแล้วขึ้นหน้า 404 Not Found บนเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรา จากนั้นเราก็ติดต่อไปหาเจ้าของเว็บนั้นเพื่อแจ้งว่า “สวัสดีค่ะคุณพี่ พอดีคิตตี้เจลิงก์เสียที่หน้านี้นะคะ… เอ้อ! แล้วพอดีเลย คิตตี้มีบทความเรื่องเดียวกันที่อัปเดตและดีกว่าอยู่ตรงนี้ (ลิงก์บทความของเรา) คุณพี่จะลองเอาไปใส่แทนที่ลิงก์ที่เสียก็ได้นะคะ”
- ทำไมถึงดี: เป็นการช่วยเหลือเจ้าของเว็บค่ะ ใครๆ ก็ไม่อยากให้มีลิงก์เสียบนเว็บของตัวเอง เพราะมันทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้ไม่ดี พอเราเข้าไปช่วยเขา เขาก็มีแนวโน้มที่จะอยากช่วยเรากลับด้วยการใส่ลิงก์ให้เราค่ะ
- How-to ฉบับคิตตี้:
- หาเป้าหมาย: มองหาหน้าเว็บที่รวบรวมลิงก์เยอะๆ (Resource Page) ในแวดวงของเรา เช่น “100 เว็บไซต์สำหรับคนรักกาแฟ”
- ใช้เครื่องมือ: ใช้ Extension ของ Chrome ที่ชื่อว่า Check My Links หรือเครื่องมือ SEO อย่าง Ahrefs เพื่อสแกนหาลิงก์เสียในหน้านั้นๆ
- หาคอนเทนต์ของเรามาแทนที่: เมื่อเจอลิงก์เสียที่ชี้ไปยังบทความเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้เราดูว่าเรามีบทความที่เนื้อหาใกล้เคียงกันไหม ถ้าไม่มี… ก็ได้เวลาเขียนขึ้นมาใหม่เลยค่ะ! ทำให้ดีกว่าของเดิมที่เสียไปให้ได้นะคะ
- ส่งอีเมลแจ้งข่าวดี: เขียนอีเมลไปหาเจ้าของเว็บอย่างเป็นมิตร แจ้งตำแหน่งของลิงก์ที่เสีย และเสนอคอนเทนต์ของเราเป็นทางเลือกค่ะ
3. กลยุทธ์สายคอนเทนต์เทพ: Creating Linkable Assets (สร้างทรัพย์สินที่คนอยากลิงก์หา)
- มันคืออะไร: แทนที่จะวิ่งไล่หาลิงก์ เรามาสร้างคอนเทนต์ที่ “ดีที่สุด” “ละเอียดที่สุด” “มีประโยชน์ที่สุด” จนคนอื่นอดใจไม่ไหว ต้องลิงก์มาหาเราเองเลยค่ะ นี่คือวิธีที่ยั่งยืนและทรงพลังที่สุดในระยะยาว
- ตัวอย่าง Linkable Assets:
- Ultimate Guides: บทความขนาดยาวที่เจาะลึกทุกแง่มุมของเรื่องๆ หนึ่ง (เหมือนบทความนี้นี่แหละค่า!)
- Infographics: รูปภาพที่สรุปข้อมูลที่ซับซ้อนให้ออกมาสวยงามและเข้าใจง่าย
- Case Studies: การศึกษาเคสที่ประสบความสำเร็จของเราอย่างละเอียด พร้อมข้อมูลและตัวเลข
- Free Tools & Templates: สร้างเครื่องมือคำนวณง่ายๆ, Template Presentation, หรือ Checklist ให้คนดาวน์โหลดไปใช้ฟรี
- Original Research & Surveys: ทำแบบสำรวจในวงการของเราแล้วนำผลลัพธ์มานำเสนอเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
- ทำไมถึงดี: มันทำให้เรากลายเป็น “แหล่งข้อมูลอ้างอิง” (Go-to Source) ในเรื่องนั้นๆ โดยอัตโนมัติค่ะ พอเรามีของดีอยู่ในมือ การไปโปรโมตให้คนอื่นลิงก์หาเราก็จะง่ายขึ้นมากๆ
4. กลยุทธ์สาย PR: Digital PR & Brand Mentions
- มันคืออะไร: คล้ายๆ กับการทำ PR ทั่วไปเลยค่ะ แต่เน้นที่ช่องทางออนไลน์ คือการทำให้แบรนด์หรือเว็บไซต์ของเราถูกพูดถึง (Mention) ในสื่อออนไลน์ใหญ่ๆ เช่น เว็บข่าว, บล็อกเกอร์ชื่อดัง, หรือนิตยสารออนไลน์
- ทำไมถึงดี: การถูกพูดถึงจากสื่อใหญ่ๆ แม้บางครั้งจะไม่ได้ลิงก์กลับมา (เรียกว่า Unlinked Mention) ก็ยังส่งสัญญาณที่ดีไปยัง Google ค่ะ แต่ถ้าได้ลิงก์กลับมาด้วยก็จะสุดยอดมากๆ! มันช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ (Authority) ได้แบบก้าวกระโดดเลย
- How-to ฉบับคิตตี้:
- สร้างเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณ เช่น จัดกิจกรรมเพื่อสังคม, เปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่, หรือทำผลสำรวจที่น่าตกใจ
- เขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (Press Release) แล้วส่งไปยังนักข่าวหรือสื่อที่เกี่ยวข้อง
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับนักข่าวและบล็อกเกอร์ในสายงานของเราเอาไว้ค่ะ
Off-Page SEO ไม่ได้มีแค่ Backlink นะคะ!
อย่างที่คิตตี้บอกไปตอนต้นค่ะว่า Backlink คือหัวใจหลัก แต่ก็ยังมีปัจจัย Off-Page อื่นๆ ที่จะช่วยเสริมทัพให้เว็บไซต์ของเราแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามเด็ดขาดเลยค่ะ
1. Google Business Profile (ชื่อเดิม Google My Business)
- สำคัญสุดๆ สำหรับธุรกิจที่มีหน้าร้านหรือให้บริการในพื้นที่เฉพาะ (Local SEO) ค่ะ การที่เรามีโปรไฟล์ที่สมบูรณ์ ใส่ข้อมูลครบถ้วน ทั้งชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทร (NAP: Name, Address, Phone), เวลาทำการ, รูปภาพ และคอยตอบรีวิวจากลูกค้า จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและช่วยให้เราติดอันดับในการค้นหาแบบ Local ได้ดีมากๆ เลยค่ะ
2. Social Media Marketing
- ถึงแม้ลิงก์จากโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่จะเป็น Nofollow และไม่ได้ส่งผลต่ออันดับโดยตรง แต่! Social Signals หรือการที่คอนเทนต์ของเราถูกแชร์ ถูกไลก์ ถูกคอมเมนต์เยอะๆ บนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, Twitter, Instagram, TikTok มันคือสัญญาณที่บอก Google ว่า “คอนเทนต์นี้กำลังเป็นที่นิยมนะ คนให้ความสนใจเยอะมาก!” ซึ่งมันสามารถส่งผลทางอ้อมต่ออันดับได้ค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นช่องทางสร้าง Brand Awareness และดึง Traffic เข้าเว็บได้ดีเยี่ยมอีกด้วย
3. Online Reviews & Ratings
- รีวิวจากลูกค้าคือเสียงสวรรค์ค่ะ! ไม่ว่าจะอยู่บน Google Business Profile, Facebook Page, หรือเว็บรีวิวอย่าง Wongnai, Pantip ก็ตาม รีวิวในเชิงบวกจำนวนมากคือเครื่องการันตีชั้นดีที่บอกทั้งลูกค้าและ Google ว่าเราของจริง! น่าเชื่อถือ และไว้วางใจได้ค่ะ (Trustworthiness เต็มๆ) คิตตี้แนะนำให้สนับสนุนให้ลูกค้าช่วยเขียนรีวิวให้เราด้วยนะคะ
4. Forum & Community Participation
- การเข้าไปมีส่วนร่วมในเว็บบอร์ดหรือชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา เช่น Pantip, Quora, หรือกลุ่มใน Facebook เป็นวิธีที่ดีในการสร้างตัวตนในฐานะผู้เชี่ยวชาญค่ะ แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีนะคะ! ไม่ใช่เข้าไปแล้วแปะลิงก์เว็บเราดื้อๆ แบบนั้นจะโดนมองว่าเป็นสแปมและโดนแบนได้ค่ะ วิธีที่ถูกต้องคือการเข้าไปตอบคำถาม ให้ความรู้ และช่วยเหลือคนอื่นจริงๆ แล้วอาจจะใส่ลิงก์ที่เกี่ยวข้องกับคำตอบของเราแบบเนียนๆ เป็นการให้ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ
คำเตือน! ด้านมืดของ Off-Page SEO ที่ห้ามยุ่งเด็ดขาด (Black Hat SEO)
มีด้านสว่างก็ต้องมีด้านมืดใช่ไหมคะ ในวงการ SEO ก็มีเทคนิคสายดำที่พยายามจะหลอก Google เพื่อให้ได้อันดับมาเร็วๆ ซึ่งคิตตี้ขอย้ำตรงนี้เลยว่า ห้ามทำเด็ดขาด! เพราะถ้า Google จับได้เมื่อไหร่ เว็บไซต์ของเราอาจจะโดนลงโทษสถานหนัก หายไปจากผลการค้นหาไปเลยก็ได้นะคะ กู้คืนมาก็ยากมากๆ ไม่คุ้มกันเลยค่ะ
- การซื้อ-ขาย Backlink: การจ่ายเงินเพื่อซื้อลิงก์จำนวนมากจากเว็บที่ไม่มีคุณภาพ
- Private Blog Networks (PBN): การสร้างเครือข่ายเว็บของตัวเองขึ้นมาเยอะๆ เพื่อปั่นลิงก์ส่งให้เว็บหลักของตัวเองโดยเฉพาะ
- คอมเมนต์สแปม (Comment Spam): การไปโพสต์คอมเมนต์ตามบล็อกหรือเว็บบอร์ดต่างๆ แบบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาแล้วแปะลิงก์ของตัวเอง
- การแลกลิงก์มากเกินไป (Excessive Link Exchange): การตกลงแลกลิงก์กับเว็บอื่นเป็นจำนวนมากแบบไม่มีเหตุผล
จำไว้นะคะว่า SEO ที่ดีคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งร้อยเมตรค่ะ ช้าแต่ชัวร์และยั่งยืนดีที่สุดค่ะ
สรุป
ว้าว! เดินทางกันมาไกลมากๆ เลยนะคะสาวๆ หวังว่าตอนนี้ทุกคนคงจะเห็นภาพรวมและเข้าใจแล้วว่า Off-Page คืออะไร และมันสำคัญกับเว็บไซต์ของเรามากแค่ไหนนะคะ
หัวใจของมันไม่ใช่แค่การสะสม Backlink แต่คือ “การสร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รัก” ค่ะ มันคือการสร้างความสัมพันธ์ การให้คุณค่า และการทำให้คนอื่นยอมรับและอยากจะพูดถึงเราในทางที่ดีเอง
การทำ Off-Page SEO ต้องใช้เวลา ความอดทน และความคิดสร้างสรรค์นะคะ มันไม่ใช่สิ่งที่ทำวันนี้แล้วพรุ่งนี้อันดับจะพุ่งเลย แต่คิตตี้รับประกันได้เลยค่ะว่าถ้าเราค่อยๆ สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยเทคนิคสายขาวที่คิตตี้เล่ามาทั้งหมดนี้ ผลลัพธ์ที่ได้จะหอมหวานและยั่งยืนมากๆ อันดับของเราจะมั่นคง ไม่แกว่งไปแกว่งมาง่ายๆ และที่สำคัญที่สุดคือเราจะได้สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่รักของทั้งลูกค้าและ Google ไปพร้อมๆ กันค่ะ
สู้ๆ นะคะทุกคน! ถ้ามีคำถามอะไรเพิ่มเติม หรืออยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน คอมเมนต์คุยกับคิตตี้ได้เลยน้า วันนี้ไปก่อนแล้วค่ะ บ๊ายบายค่าาา