ทำความรู้จัก On-Page SEO กันก่อนดีกว่าค่ะซิส!
ก่อนที่เราจะไปลงลึกถึงเทคนิคต่างๆ คิตตี้อยากให้เพื่อนๆ เข้าใจคอนเซ็ปต์ของ On-Page SEO กันก่อนแบบง่ายๆ นะคะ
ลองจินตนาการว่าเว็บไซต์ของเราเปรียบเสมือน “บ้าน” หลังหนึ่งค่ะ การทำ On-Page SEO ก็คือ “การจัดบ้านและตกแต่งภายในบ้านของเรา” ให้สวยงาม น่าอยู่ แขก (ในที่นี้คือ User หรือคนที่เข้ามาในเว็บ) ไปจนถึงคุณแม่บ้าน (ในที่นี้คือ Google Bot) ที่แวะมาเยี่ยมชมแล้วรู้สึกประทับใจ เข้าใจได้ทันทีว่าบ้านหลังนี้มีอะไรดี จัดวางของเป็นระเบียบหาง่าย สบายตา และอยากจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ
พูดง่ายๆ ก็คือ On-Page SEO คือกระบวนการปรับแต่งทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ “บนหน้าเว็บไซต์ของเรา” ค่ะ ตั้งแต่เนื้อหา ตัวอักษร รูปภาพ ลิงก์ ไปจนถึงโค้ดหลังบ้านบางส่วน เพื่อให้ Search Engine อย่าง Google เข้าใจว่าหน้าเว็บเพจหน้านี้ของเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร และมันมีประโยชน์กับคนที่กำลังค้นหาข้อมูลเรื่องนั้นๆ มากแค่ไหน
ถ้าเราจัดบ้านได้ดี Google ก็จะ “รัก” เว็บไซต์ของเรา และมองว่าเว็บเรามีคุณภาพ น่าเชื่อถือ และพร้อมที่จะแนะนำให้คนอื่นๆ ได้รู้จัก นั่นก็คือการดันอันดับเว็บไซต์ของเราให้ไปอยู่สูงๆ บนหน้าผลการค้นหา (SERPs) นั่นเองค่ะ!
แล้วมันต่างจาก Off-Page SEO ยังไงล่ะ?
ไหนๆ ก็พูดถึง On-Page แล้ว ขอแวะเรื่อง Off-Page SEO นิดนึงนะคะ จะได้ไม่สับสนกัน ถ้า On-Page คือการแต่งบ้านของเราเอง Off-Page SEO ก็จะเปรียบเสมือน “การสร้างชื่อเสียงให้บ้านของเราเป็นที่รู้จักของคนนอก” ค่ะ เช่น การที่มีคนพูดถึงบ้านเราในทางที่ดี การมีเพื่อนบ้านแนะนำบอกต่อ หรือการที่เราไปฝากนามบัตรตามที่ต่างๆ เพื่อให้คนรู้จักและแวะมาเยี่ยมบ้านเรามากขึ้น ในโลกของ SEO ก็คือการทำ Backlink (ให้เว็บอื่นลิงก์กลับมาหาเรา), การทำ Social Media Marketing หรือการสร้าง Brand Mention นั่นเองค่ะ
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สำคัญไม่แพ้กันเลยนะคะ แต่รากฐานที่มั่นคงที่สุดต้องเริ่มจาก “ในบ้าน” ของเราก่อนเสมอค่ะ ถ้าบ้านเรายังรก ไม่น่าอยู่ ต่อให้ทำการตลาดนอกบ้านดีแค่ไหน คนเข้ามาแล้วก็คงไม่อยากอยู่นานๆ จริงไหมคะ?
ดังนั้น วันนี้เราจะมาโฟกัสที่การจัดบ้านของเราให้สวยปิ๊งด้วย On-Page SEO กันค่ะ!
ทำไม On-Page SEO ถึงเป็นหัวใจสำคัญของการทำ SEO?
คิตตี้ขอบอกเลยว่า On-Page SEO เนี่ยเป็นเหมือนเสาหลักของการทำ SEO เลยค่ะ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อทั้ง User (ผู้ใช้งาน) และ Search Engine (Google)
- สำหรับผู้ใช้งาน (User Experience – UX): การทำ On-Page SEO ที่ดีจะช่วยให้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเราได้รับประสบการณ์ที่ดีค่ะ เนื้อหาอ่านง่าย เข้าใจง่าย โหลดเร็ว รูปภาพสวยงาม ข้อมูลครบถ้วนตรงกับที่เค้าต้องการหา เมื่อเค้าแฮปปี้ เค้าก็จะอยู่บนเว็บเรานานขึ้น อ่านต่อไปยังหน้าอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่ส่งไปบอก Google ว่า “เว็บนี้ดีนะ คนชอบ!”
- สำหรับ Search Engine (Google Bot): การปรับแต่ง On-Page SEO เป็นการสื่อสารกับ Google Bot โดยตรงเลยค่ะ ว่าหน้าเว็บของเราเกี่ยวกับอะไร มีคีย์เวิร์ดคำไหนที่สำคัญ โครงสร้างเว็บเป็นอย่างไร เพื่อให้ Google Bot สามารถเก็บข้อมูล (Crawling) และทำความเข้าใจเนื้อหา (Indexing) ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เมื่อ Google เข้าใจเว็บเราดีแล้ว ก็จะสามารถนำไปจัดอันดับได้อย่างแม่นยำมากขึ้นนั่นเองค่ะ
เอาล่ะค่ะ! เกริ่นกันมาพอสมควรแล้ว เพื่อนๆ คงพอจะเห็นภาพรวมและความสำคัญของ On-Page SEO กันแล้วใช่ไหมคะ ต่อไปนี้คิตตี้จะพาทุกคนไปเจาะลึกในแต่ละองค์ประกอบสำคัญ ที่เราจะต้องลงมือปรับแต่งกัน บอกเลยว่าละเอียดทุกซอกทุกมุมแน่นอนค่ะ!
คัมภีร์ On-Page SEO ฉบับสมบูรณ์: ปรับตรงไหนให้ปังบ้าง?
เตรียมตัวจดกันได้เลยนะคะสาวๆ คิตตี้ลิสต์มาให้ครบทุกหัวข้อสำคัญที่เราต้องโฟกัสในการทำ On-Page SEO ค่ะ
1. คุณภาพของเนื้อหา (Content Quality) คือ “ราชา” เหนือทุกสิ่ง!
เรื่องแรกและเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ Google ให้ความสำคัญมากๆ เลยก็คือ “คุณภาพของเนื้อหา” ค่ะ ต่อให้เราทำเทคนิคอื่นๆ ดีเลิศแค่ไหน แต่ถ้าเนื้อหาของเราไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ก็ยากที่จะติดอันดับได้ในระยะยาวค่ะ
แล้วเนื้อหาคุณภาพดีในสายตาของ Google และ User เป็นยังไง? คิตตี้สรุปมาให้ตามหลัก E-E-A-T ที่ Google ใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์เลยค่ะ
- E – Experience (ประสบการณ์): เนื้อหาที่ดีควรเขียนจากผู้ที่มีประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้นๆ ค่ะ เช่น ถ้าเราจะเขียนรีวิวครีมกันแดด การที่เราได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์นั้นจริงๆ แล้วมาเขียนเล่าประสบการณ์ ข้อดี ข้อเสีย จะทำให้บทความของเรามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากกว่าการไปคัดลอกข้อมูลจากที่อื่นมาเฉยๆ ค่ะ
- E – Expertise (ความเชี่ยวชาญ): ผู้เขียนต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในหัวข้อที่เขียนอย่างลึกซึ้งค่ะ สามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และลงลึกในรายละเอียดได้ ไม่ใช่แค่ข้อมูลพื้นฐานทั่วๆ ไป บทความของเราต้องแสดงให้เห็นว่า “เรารู้จริง” ในเรื่องนั้นๆ
- A – Authoritativeness (ความเป็นผู้มีอำนาจ หรือความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล): เว็บไซต์และตัวผู้เขียนเองต้องมีความน่าเชื่อถือในวงการนั้นๆ ค่ะ การสร้างความน่าเชื่อถือทำได้หลายวิธี เช่น การมีหน้า “เกี่ยวกับเรา” (About Us) ที่ชัดเจน, การระบุโปรไฟล์ผู้เขียน, การได้รับรางวัล หรือการถูกอ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่น่าเชื่อถือ
- T – Trustworthiness (ความน่าไว้วางใจ): เว็บไซต์โดยรวมต้องมีความน่าไว้วางใจค่ะ เช่น มีข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจน, มีนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy), ถ้าเป็นเว็บขายของก็ต้องมีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัย หรือการที่เว็บไซต์เป็น HTTPS ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสร้างความน่าไว้วางใจเช่นกันค่ะ
เคล็ดลับการสร้างคอนเทนต์คุณภาพจากคิตตี้:
- เขียนให้ลึกและครบถ้วน: ตอบทุกคำถามที่คนอ่านอาจจะสงสัยในหัวข้อนั้นๆ ทำให้บทความของเราเป็น “One-Stop-Service” ที่อ่านจบแล้วไม่ต้องไปหาข้อมูลที่อื่นต่อเลยค่ะ
- อัปเดตข้อมูลให้สดใหม่อยู่เสมอ: โลกดิจิทัลหมุนเร็วมากค่ะ ข้อมูลบางอย่างอาจจะล้าสมัยไปแล้ว เราควรกลับมาตรวจสอบและอัปเดตบทความเก่าๆ ของเราให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอนะคะ
- เขียนให้อ่านง่ายและเป็นธรรมชาติ: ใช้ภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจง่าย จัดย่อหน้าให้สั้นๆ ใช้ Bullet Point หรือตัวหนาเพื่อเน้นข้อความสำคัญ เหมือนกำลังนั่งเล่าเรื่องให้เพื่อนฟังค่ะ (แบบที่คิตตี้กำลังทำอยู่นี่ไงคะ อิอิ)
- ไม่ซ้ำใคร (Unique Content): ห้าม! ห้ามเด็ดขาดเลยนะคะ! กับการไปคัดลอกบทความจากเว็บอื่นมาแปะดื้อๆ หรือที่เรียกว่า “Duplicate Content” เพราะมันจะส่งผลเสียต่อ SEO อย่างร้ายแรงเลยค่ะ Google ชอบเนื้อหาที่เป็นออริจินัล ไม่ซ้ำใครเท่านั้นค่ะ
2. การวิเคราะห์และเลือกใช้คีย์เวิร์ด (Keyword Research & Implementation)
มาถึงเรื่องสนุกๆ กันแล้วค่ะ! นั่นก็คือเรื่องของ “คีย์เวิร์ด” (Keyword) หรือคำค้นหาที่คนใช้พิมพ์ใน Google เพื่อหาข้อมูลที่เราต้องการนั่นเอง การเลือกคีย์เวิร์ดที่ถูกต้องก็เหมือนกับการติดป้ายบอก Google และ User ว่า “ร้านเราขายอะไร”
ขั้นตอนการจัดการคีย์เวิร์ดของคิตตี้:
- หาคีย์เวิร์ดหลัก (Main Keyword): ใน 1 หน้าเว็บเพจ ควรมีคีย์เวิร์ดหลักแค่ 1 คำ หรือ 1 กลุ่มคำเท่านั้นค่ะ เช่น บทความนี้ของคิตตี้ คีย์เวิร์ดหลักก็คือ “On-Page SEO คืออะไร”
- หาคีย์เวิร์ดรองและคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (Secondary & LSI Keywords): นอกจากคีย์เวิร์ดหลักแล้ว เราต้องหาคำอื่นๆ ที่มีความหมายใกล้เคียงหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราเขียนด้วยค่ะ เช่น “เทคนิค on-page seo”, “องค์ประกอบ on-page seo”, “วิธีทำ on-page seo” คำเหล่านี้จะช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาเราได้กว้างขึ้นค่ะ
- LSI Keywords (Latent Semantic Indexing): เป็นคีย์เวิร์ดที่ Google ใช้เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของคำต่างๆ ค่ะ เช่น ถ้าเราพูดถึง “Apple” Google จะดูคำรอบๆ ว่าเราหมายถึง “ผลไม้” หรือ “บริษัทเทคโนโลยี” กันแน่
- การวางตำแหน่งคีย์เวิร์ด (Keyword Placement): เมื่อได้คีย์เวิร์ดมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะนำไป “ปลูก” ตามจุดต่างๆ ในบทความของเราอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ ไม่ใช่การยัดคีย์เวิร์ด (Keyword Stuffing) เยอะๆ จนอ่านไม่รู้เรื่องนะคะ แบบนั้น Google ไม่ชอบค่ะ!
จุดสำคัญที่ควรมีคีย์เวิร์ดอยู่:
- Title Tag (จะอธิบายในข้อถัดไป)
- Meta Description (จะอธิบายในข้อถัดไป)
- URL (ชื่อลิงก์)
- Heading Tags (H1, H2, H3, …)
- ในย่อหน้าแรกของบทความ (First 100 words)
- ในเนื้อหาบทความ (Body Content): กระจายอย่างเป็นธรรมชาติ
- ชื่อไฟล์รูปภาพและ Alt Text
3. Title Tag และ Meta Description: ป้ายหน้าร้านที่ต้องดึงดูดใจ!
สองส่วนนี้สำคัญมากๆ เลยนะคะ เพราะมันคือสิ่งแรกที่คนจะเห็นบนหน้าผลการค้นหาของ Google ค่ะ ถึงแม้เราจะอยู่อันดับ 1 แต่ถ้า Title กับ Description ของเราไม่น่าสนใจ คนก็อาจจะเลื่อนผ่านไปคลิกอันดับ 2 หรือ 3 แทนก็ได้นะคะ!
- Title Tag (แท็กชื่อเรื่อง):
- คืออะไร: คือชื่อหัวข้อของหน้าเว็บเพจที่จะไปแสดงผลเป็นตัวหนังสือสีฟ้าตัวใหญ่ๆ บน Google ค่ะ
- ควรเป็นอย่างไร:
- ความยาว: ประมาณ 55-60 ตัวอักษร (ถ้ายาวไปจะโดนตัดค่ะ)
- ต้องมีคีย์เวิร์ดหลัก: และควรวางไว้ต้นๆ ประโยคเลยค่ะ
- ต้องดึงดูด: อ่านแล้วต้องอยากคลิก! อาจจะใส่ตัวเลข, คำถาม, หรือคำที่กระตุ้นอารมณ์เข้าไปได้ค่ะ
- ไม่ซ้ำกัน: Title ของแต่ละหน้าในเว็บต้องไม่ซ้ำกันเด็ดขาด
- ตัวอย่าง:
On-Page SEO คืออะไร? คัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ 2025 ปรับเว็บให้ปัง!
- Meta Description (คำอธิบายหน้าเว็บ):
- คืออะไร: คือข้อความสั้นๆ ที่อยู่ใต้ Title บนหน้าผลการค้นหาค่ะ เป็นเหมือนคำโปรยที่สรุปว่าหน้านี้มีอะไร
- ควรเป็นอย่างไร:
- ความยาว: ประมาณ 150-160 ตัวอักษร
- ต้องมีคีย์เวิร์ดหลัก: และคีย์เวิร์ดรองเพื่อช่วยเสริม
- เป็นเหมือนคำโฆษณา: บอกให้คนอ่านรู้ว่าถ้าคลิกเข้ามาแล้วจะได้อะไร และจบด้วย Call-to-Action (CTA) เช่น “อ่านเลย!”, “ค้นพบเทคนิคที่นี่”
- ตัวอย่าง:
ไขทุกข้อสงสัย On-Page SEO คืออะไร? เรียนรู้เทคนิคปรับแต่งเว็บไซต์อย่างละเอียดกว่า 3000 คำ ตั้งแต่ Keyword, Content, Title, Meta Description อ่านจบทำตามได้ทันที!
4. การจัดโครงสร้างบทความด้วย Heading Tags (H1, H2, H3, …)
Heading Tags ก็คือหัวข้อต่างๆ ในบทความของเรานั่นเองค่ะ มันช่วยจัดระเบียบเนื้อหา ทำให้อ่านง่ายขึ้นทั้งสำหรับคนและ Google Bot
- H1 (Heading 1): คือหัวข้อที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของหน้าค่ะ ใน 1 หน้าควรมี H1 แค่อันเดียวเท่านั้น! และควรจะเป็นหัวข้อเดียวกับ Title Tag หรือใกล้เคียงกัน และต้องมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย
- H2 (Heading 2): คือหัวข้อรองลงมาจาก H1 ใช้แบ่งประเด็นใหญ่ๆ ในบทความ สามารถมีได้หลายอันค่ะ และควรใส่คีย์เวิร์ดรองหรือ LSI Keywords เข้าไปใน H2 บ้าง
- H3 (Heading 3): คือหัวข้อย่อยของ H2 ใช้สำหรับเจาะลึกในรายละเอียดของประเด็นนั้นๆ ค่ะ
การวางโครงสร้าง H1 > H2 > H3 … ที่ถูกต้อง จะช่วยให้ Google เข้าใจลำดับความสำคัญและโครงสร้างของเนื้อหาเราได้ดีมากๆ เลยค่ะ
5. การปรับแต่งรูปภาพ (Image Optimization)
รูปภาพสวยๆ ช่วยให้บทความน่าอ่านขึ้นเยอะเลยค่ะ แต่ในทาง SEO เราต้องใส่ใจรายละเอียดมากกว่าแค่ความสวยงามนะคะ
- ตั้งชื่อไฟล์รูปภาพ (File Name): ก่อนจะอัปโหลดรูปภาพขึ้นเว็บ ควรเปลี่ยนชื่อไฟล์ให้สื่อความหมายและมีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องคั่นด้วยเครื่องหมายขีดกลาง (-) ค่ะ อย่าใช้ชื่อไฟล์เป็น
IMG_1234.jpg
นะคะ!- ตัวอย่าง:
on-page-seo-elements.jpg
- ตัวอย่าง:
- Alt Text (Alternative Text): คือข้อความที่ใช้อธิบายว่ารูปภาพนั้นคืออะไร มันมีไว้สำหรับ 2 อย่างค่ะ คือ 1) แสดงผลแทนในกรณีที่รูปโหลดไม่ขึ้น และ 2) ให้ Screen Reader อ่านให้ผู้พิการทางสายตาฟัง และที่สำคัญคือ มันช่วยให้ Google Bot “เข้าใจ” ว่ารูปภาพของเราคือรูปอะไร! ดังนั้น เราควรใส่คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องลงไปใน Alt Text ด้วยค่ะ
- ขนาดไฟล์รูปภาพ (File Size): รูปภาพขนาดใหญ่เกินไปจะทำให้เว็บโหลดช้ามากกก ซึ่งส่งผลเสียต่อ SEO สุดๆ ค่ะ ก่อนอัปโหลดเราควรบีบอัดไฟล์ (Compress) ให้มีขนาดเล็กลงแต่ยังคงความคมชัดไว้ (แนะนำให้ต่ำกว่า 100-150 KB ค่ะ)
- เลือก Format ไฟล์ให้เหมาะสม:
JPEG
สำหรับภาพถ่ายทั่วไป,PNG
สำหรับภาพที่ต้องการพื้นหลังโปร่งใส, และWebP
ซึ่งเป็นฟอร์แมตใหม่ที่ Google แนะนำเพราะไฟล์เล็กและคุณภาพดีค่ะ
6. URL (Uniform Resource Locator) ที่เป็นมิตรกับ SEO
URL หรือลิงก์ของหน้าเว็บเราก็เป็นอีกจุดที่ต้องใส่ใจค่ะ URL ที่ดีควรจะ…
- สั้นและกระชับ: ง่ายต่อการจดจำและแชร์
- สื่อความหมาย: อ่านแล้วเข้าใจทันทีว่าหน้านี้เกี่ยวกับอะไร
- มีคีย์เวิร์ดหลัก: (ใช้เป็นภาษาอังกฤษจะดีที่สุดค่ะ)
- ใช้ขีดกลาง (-) คั่นระหว่างคำ: ไม่ใช้อันเดอร์สกอร์ (_) หรือเว้นวรรค
ตัวอย่าง URL ที่ดี: https://www.kittysite.com/blog/what-is-on-page-seo
ตัวอย่าง URL ที่ไม่ดี: https://www.kittysite.com/p=123
หรือ https://www.kittysite.com/blog/บทความเกี่ยวกับ-on-page-seo-คืออะไร
7. การเชื่อมโยงลิงก์ภายในและภายนอก (Internal & External Links)
การใส่ลิงก์ในบทความก็เป็นอีกเทคนิค On-Page ที่สำคัญมากค่ะ
- Internal Links (ลิงก์ภายใน): คือการลิงก์จากหน้าหนึ่งในเว็บของเรา ไปยังอีกหน้าหนึ่งในเว็บของเราเองค่ะ
- ประโยชน์:
- ช่วยให้ User ค้นพบเนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจในเว็บเรา ทำให้อยู่บนเว็บนานขึ้น
- ช่วยส่ง “พลัง SEO” (Link Juice) กระจายไปทั่วทั้งเว็บไซต์
- ช่วยให้ Google Bot ค้นพบหน้าใหม่ๆ และเข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาในเว็บเราได้ดีขึ้น
- เทคนิค: ควรลิงก์โดยใช้ Anchor Text (ข้อความที่ใช้ลิงก์) ที่มีความเกี่ยวข้องกับหน้าปลายทางค่ะ เช่น ลิงก์ไปบทความ “Off-Page SEO” ด้วย Anchor Text ว่า
"เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Off-Page SEO"
- ประโยชน์:
- External Links (ลิงก์ภายนอก): คือการลิงก์จากเว็บของเราออกไปยังเว็บไซต์อื่นๆ
- ประโยชน์: การลิงก์ไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ (เช่น เว็บไซต์หน่วยงานรัฐบาล, สถาบันวิจัย, หรือเว็บใหญ่ๆ ที่เป็นที่ยอมรับ) จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ (Credibility) ให้กับบทความของเราได้ค่ะ
- ข้อควรระวัง: เลือกลิงก์ไปเฉพาะเว็บที่มีคุณภาพจริงๆ นะคะ และควรตั้งค่าให้ลิงก์เปิดในแท็บใหม่ (
target="_blank"
) เพื่อไม่ให้คนออกจากเว็บเราไปเลยค่ะ
8. Technical On-Page SEO: เรื่องหลังบ้านที่ต้องรู้!
นอกจากสิ่งที่เรามองเห็นหน้าบ้านแล้ว เรื่องเทคนิคหลังบ้านบางอย่างก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของ On-Page SEO ที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะสาวๆ
- ความเร็วเว็บไซต์ (Page Speed): นี่คือปัจจัยสำคัญมากค่ะ! ไม่มีใครชอบรอเว็บที่โหลดช้าๆ แน่นอน ถ้าเว็บเราโหลดเกิน 3 วินาที คนส่วนใหญ่อาจจะกดปิดไปเลย Google เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากค่ะ เราสามารถใช้เครื่องมืออย่าง Google PageSpeed Insights เพื่อเช็คความเร็วและดูคำแนะนำในการปรับปรุงได้ค่ะ
- การแสดงผลบนมือถือ (Mobile-Friendliness): ปัจจุบันคนใช้มือถือเข้าเว็บไซต์มากกว่าคอมพิวเตอร์อีกนะคะ Google เองก็ใช้ Mobile-First Indexing (การพิจารณาจากเวอร์ชันมือถือเป็นหลักในการจัดอันดับ) ดังนั้น เว็บไซต์ของเราต้องแสดงผลบนมือถือได้อย่างสวยงามและใช้งานง่าย (Responsive Design)
- Schema Markup (Structured Data): อันนี้อาจจะแอดวานซ์ขึ้นมานิดนึงนะคะ มันคือชุดโค้ดที่เราใส่เข้าไปในเว็บเพื่อ “อธิบาย” เนื้อหาของเราให้ Search Engine เข้าใจในระดับที่ลึกขึ้นค่ะ เช่น บอกว่านี่คือบทความ, นี่คือสูตรอาหาร, นี่คือรีวิวสินค้า ซึ่งการใส่ Schema ที่ถูกต้อง จะช่วยให้เว็บของเรามีโอกาสแสดงผลแบบพิเศษบน Google ที่เรียกว่า “Rich Results” หรือ “Rich Snippets” ได้ค่ะ (เช่น การแสดงผลแบบมีดาว, มีรูปภาพ, หรือมีคำถาม FAQ) ซึ่งมันโดดเด่นและเพิ่มโอกาสให้คนคลิกมากขึ้นเยอะเลย!
เช็กลิสต์ On-Page SEO ฉบับย่อ by น้องคิตตี้ (เอาไว้เช็คก่อนเผยแพร่บทความ!)
ว้าว! คุยกันมาซะยาวเลยนะคะเนี่ย คิตตี้เลยทำเช็กลิสต์ฉบับย่อมาให้เพื่อนๆ เอาไว้ตรวจสอบก่อนจะกดปุ่ม Publish บทความกันค่ะ
- [ ] เนื้อหา: มีคุณภาพตามหลัก E-E-A-T, ครบถ้วน, ไม่ซ้ำใคร และอัปเดตล่าสุดใช่ไหม?
- [ ] คีย์เวิร์ด: เลือกคีย์เวิร์ดหลัก 1 คำ และมีคีย์เวิร์ดรองกระจายอย่างเป็นธรรมชาติหรือยัง?
- [ ] Title Tag: ความยาวไม่เกิน 60 ตัวอักษร, มีคีย์เวิร์ดหลัก, และน่าคลิกใช่ไหม?
- [ ] Meta Description: ความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร, มีคีย์เวิร์ด และชวนให้อ่านต่อหรือไม่?
- [ ] URL: สั้น, กระชับ, เป็นภาษาอังกฤษ และมีคีย์เวิร์ดหลักหรือยัง?
- [ ] Heading Tags: มี H1 แค่แท็กเดียวใช่ไหม? และมีการใช้ H2, H3 จัดลำดับหัวข้อถูกต้องหรือไม่?
- [ ] รูปภาพ: บีบอัดไฟล์, ตั้งชื่อไฟล์ และใส่ Alt Text ที่มีคีย์เวิร์ดครบทุกรูปแล้วหรือยัง?
- [ ] Internal Links: มีการลิงก์ไปหน้าอื่นๆ ในเว็บของเราอย่างน้อย 2-3 ลิงก์ใช่ไหม?
- [ ] External Links: มีการลิงก์ออกไปหาเว็บคุณภาพสูงที่น่าเชื่อถือบ้างหรือเปล่า?
- [ ] Mobile-Friendly: ลองเปิดดูในมือถือแล้วสวยงาม ใช้งานง่ายใช่ไหม?
ถ้าเช็คครบทุกข้อแล้วก็มั่นใจได้เลยค่ะว่าบทความของเราพร้อมจะเป็นที่รักของทั้งคนอ่านและ Google แน่นอน!
สรุป
เป็นยังไงกันบ้างคะเพื่อนๆ กับมหากาพย์ On-Page SEO ที่คิตตี้เอามาฝากกันในวันนี้ ยาวหน่อยแต่คิตตี้ตั้งใจเขียนให้ละเอียดที่สุดเลยน้า จะเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจของการทำ On-Page SEO ก็คือ “การสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน” นั่นเองค่ะ
ทุกๆ องค์ประกอบที่เราปรับแต่ง ตั้งแต่การเขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์, การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ตรงจุด, การจัดโครงสร้างให้อ่านง่าย, ไปจนถึงการทำให้เว็บโหลดเร็ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อตอบสนองความต้องการของคนที่เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา
การทำ On-Page SEO ไม่ใช่การทำครั้งเดียวแล้วจบนะคะ แต่มันคือกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ ต้องคอยกลับมาดูแล ปรับปรุง และพัฒนาเว็บไซต์ของเราอยู่ตลอดเวลา เหมือนการดูแลบ้านของเราให้สวยงามน่าอยู่อยู่เสมอนั่นแหละค่ะ
คิตตี้หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ทุกคนนะคะ ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มต้นทำเว็บไซต์ หรือทำมาสักพักแล้วแต่อยากปัดฝุ่นความรู้ใหม่ ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของตัวเองดูนะคะ คิตตี้รับรองเลยว่าถ้าเราใส่ใจในทุกรายละเอียดเหล่านี้แล้วล่ะก็ อันดับเว็บไซต์ของเราจะต้องดีขึ้นและเป็นที่รักของ Google ได้อย่างแน่นอนค่ะ!
ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยตรงไหน คอมเมนต์คุยกันได้เลยนะคะ คิตตี้พร้อมตอบเสมอค่ะ แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้านะคะ บ๊ายบายค่า!